แผนบริหารจัดการฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและมหานครเชียงใหม่มาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ปัญหามลพิษฝุ่นนี้อยู่กับคนไทยมาไม่น้อยกว่า 20 ปีก่อนหน้านี้ ศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ และ รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “จะแก้ปัญหา PM2.5 ให้ได้ผล ต้องทำแบบนี้เท่านั้น” มีเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ดังนี้ ปัจจุบันภาครัฐได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อที่จะลดปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เช่น จะห้ามรถบรรทุกเข้าเขตเมืองในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งจะใช้ระบบวันคู่วันคี่ให้รถส่วนบุคคลวิ่ง จะเปลี่ยนน้ำมันเป็นมาตรฐานใหม่ที่ลดมลพิษอากาศได้ จะห้ามเผาป่าและซากพืชเกษตร จะเข้มงวดกับโรงงาน จะเปลี่ยนรถของรัฐเป็นรถไฟฟ้า ฯลฯ มาตรการเหล่านี้แม้เรายังทำกันได้ไม่ดีนักแต่ก็ต้องเร่งทำและช่วยกันทำ แต่มาตรการบางอย่างที่พิจารณาทางเทคนิคแล้วทำไปก็ไม่ช่วยลดฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ได้มากนัก เช่น การล้างถนน การติดเครื่องกรองฝุ่นในพื้นที่เปิดสาธารณะ การฉีดละอองน้ำบนยอดตึก การใช้โดรนบินขึ้นไปฉีดน้ำลงมา การใช้เครื่องฉีดพ่นน้ำจากพื้นขึ้นสู่อากาศ ก็ไม่ควรเสียเวลาไปทำ สู้เอาเวลา งบประมาณ รวมทั้งคนไปทำอย่างอื่นที่แก้และลดปัญหาได้จริงจะดีกว่า มีข้อสังเกตว่ามาตรการต่างๆ ที่ภาคส่วนต่างๆ ช่วยกันระดมความคิดเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM2.5 นี้ มักเป็นมาตรการในทางเทคนิควิศวกรรมเท่านั้น ในขณะที่ยังมีมิติอื่นอีกมากมายที่ต้องคิดพิจารณาไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ ฯลฯ แบบบูรณาการให้ครบทุกประเด็น การแก้ปัญหาจึงจะรอบคอบและเป็นไปได้จริง ซึ่งอยากจะขอนำเสนอให้พิจารณาการแก้ปัญหาแบบองค์รวม ประกอบไปด้วย 1) ผู้ได้รับผลกระทบ 2) ผู้เป็นต้นเหตุแห่งปัญหา 3) ผู้แก้ปัญหา 4) ผู้ทำให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้จริง 5) ผู้สร้างมาตรการเพิ่มแรงจูงใจ 6) ผู้ศึกษาวิจัยหาสาเหตุและมาตรการแก้ไขป้องกัน7) ผู้กำหนดนโยบาย และ 8) ภาคประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ผู้ได้รับผลกระทบมีอยู่หลายภาคส่วนตั้งแต่ สิ่งแวดล้อมเลวลง (ดูประกอบกับตัวเลขในภาพ) อากาศเป็นพิษ หายใจไม่สะดวก หายใจเข้าไปแล้วก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ จนถึงโรคหัวใจ ซึ่งมีผลเสียต่อ สุขภาพที่รัฐต้องเสียค่ารักษาพยาบาลคนจำนวนมากเป็นเงินมหาศาลในแต่ละปี รวมทั้งหากมองในมุมที่ประชากรของประเทศจะเป็นพลเมืองที่เจ็บออดๆ แอดๆ ไม่สามารถทำงานได้มีประสิทธิผลและเต็มประสิทธิภาพ ก็จะมีผลต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติ ทำให้ GDP (หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ลดลง นอกจากนี้หากค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานอากาศสะอาดอยู่บ่อยๆ ก็จะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญในลำดับต้นๆของประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อได้ข้อมูลเชิงลบที่หาได้ง่ายมากในอินเทอร์เน็ตก็คงลังเลที่จะมาเมืองไทยและเลือกไปเยือนประเทศอื่นที่คุณภาพอากาศดีกว่าไทย นอกจากนี้เรื่องการกีฬาก็จะได้รับผลกระทบทางลบด้วยเข่นกัน การฝึกซ้อมของนักกีฬาไทยจะทำได้ไม่เต็มที่ สมรรถภาพปอดของนักกีฬาจะลดลง เมื่อไปแข่งในระดับนานาชาติก็จะสู้ต่างชาติไม่ได้และไม่สามารถนำชื่อเสียงกลับมาสู่ประเทศ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของคนต่างชาติที่มีต่อไทย ทั้งนี้ข้อคิดหรือข้อสรุปเช่นว่านี้มาจากฐานคิดที่ว่าประเทศที่เด่นทางกีฬาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแทบทั้งสิ้น และเมื่อผลเสียมีทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สุดท้ายปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็จะนำไปสู่สภาพการณ์ที่เคยมีคนถากถางสังคมไทยว่าเป็น สังคมแห่ง “โง่ จน เจ็บ” ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อใครเลยไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด ดังนั้น เราจึงไม่มีทางเลือกเป็นอื่นได้ นอกจากต้องมาร่วมใจกันหาวิธีการลดหรือแก้ปัญหานี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ผู้เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ได้รับรู้ผ่านสื่อมามากแล้ว ว่าต้นกำเนิดของฝุ่น PM2.5 มาจากแหล่งใหญ่ๆ 3 ส่วน คือ การคมนาคมขนส่ง การเผาซากพืช เผาป่า และโรงงานอุตสาหกรรม โดยอาจมีแหล่งย่อยอื่นๆอยู่บ้าง เช่น การพัดพามาจากต่างพื้นที่ (เช่น จากปริมณฑลเข้ากรุงเทพฯ จากอินโดนีเซียเข้าภาคใต้ จากกัมพูชาเข้าภาคตะวันออก) และจากการผลิตในภาคพลังงาน ผู้แก้ปัญหาทางตรงก็คือผู้ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา เมื่อเรารู้แล้วว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ใด วิธีที่ดีที่สุดคือตรงเข้าไปแก้ปัญหาที่จุดนั้น ซึ่งมาตรการต่างๆที่คิดและนำเสนอกันขึ้นมาเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ก็ได้มีการนำไปจัดทำเป็นแผนทั้งในระยะเร่งด่วนช่วงวิกฤติ ระยะกลางและระยะยาว โดยมุ่งหวังที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้สนใจอาจหาข้อมูลรายละเอียดของแผนต่างๆได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงทางเทคนิคซึ่งไม่เพียงพอ จะต้องพิจารณาประเด็นอื่นควบคู่ไปด้วย ผู้ทำให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้จริง หากไม่นับองค์กรบริหารระดับนโยบายชาติ เช่น คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว หน่วยงานที่อยู่กับพื้นที่และใกล้ชิดกับปัญหาที่สุดก็คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา หน่วยงานเหล่านี้จะต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานงาน และนำมาตรการต่างๆ มาบังคับให้เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ของตัวเอง โดยเจ้าพนักงานของ อปท.จะต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับปัญหา สาเหตุของปัญหา วิธีการแก้ไข มาตรการที่จำเป็นต้องทำ สิ่งใดที่จะต้องทำก่อนหลัง สิ่งใดที่ทำแล้วได้ผลก็เร่งทำ อะไรที่ทำแล้วไม่ได้ผล ก็อย่าไปเสียเวลาทำ โดยต้องเชื่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ (ที่โกหกไม่ได้เฉกเช่นในกรณีการระบาดของโควิด-19)จากฝ่ายวิชาการป็นหลักการพื้นฐาน ทั้งนี้จะต้องทำงานควบคู่ไปกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งจะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องจราจร และการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ซึ่งต้องยอมรับว่างานในส่วนนี้เรายังทำได้ไม่ดีนัก โดยอาจต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแรงกดดันทางสังคม (กิจกรรมนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้มาตรการต่างๆ ถูกนำไปใช้จริงได้อย่างทันท่วงทีที่สุดในบริบทของสังคมไทยปัจจุบัน)ตลอดจนคำพิพากษาของศาลมาช่วยผลักดันให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นจริงและทันกาล ผู้สร้างมาตรการเพิ่มแรงจูงใจ/ เพิ่มต้นทุน ยังมีอีกสองมาตรการที่น่าจะนำมาใช้ในการจัดการกับฝุ่น PM2.5 คือมาตรการด้านการคลังและการพาณิชย์ (ทั้งนี้มิได้หมายเฉพาะแต่งานในสองกระทรวงนี้เท่านั้น) เช่น การลดภาษีสำหรับการนำเข้าอุปกรณ์ที่จำเป็นในการลดฝุ่นที่ประเทศไทยยังทำเองไม่ได้ การส่งเสริมและสนับสนุนด้านภาษีหรือแรงจูงใจอื่นๆ ให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่และ/หรือยานพาหนะไฟฟ้า(ทั้งในระบบ รถ ราง เรือ)ได้อย่างรวดเร็วและทำได้ในราคาที่แข่งขันกับสินค้านำเข้าได้ การสนับสนุนภาคประชาชนผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ในการเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีชาวบ้าน สามารถผลิตและซ่อมได้เองในราคาเยา การทำให้สินค้าที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 ต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้น (เช่น อ้อยที่ได้มาจากการเผาไร่) เป็นต้น มาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่เรียกว่าพลังอ่อน หรือ soft power ที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มาก โดยภาครัฐต้องคิดในรูปแบบทฤษฎี “ขาดทุนคือกำไร” คือต้องยอมเสียรายได้ในส่วนนี้บ้างเพื่อที่จะไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สุขภาพและสังคมในอนาคต ผู้ศึกษาวิจัยและหาข้อเสนอแนะสำหรับปัญหา PM2.5 สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นล้วนเกี่ยวพันกันและกัน แต่การเกี่ยวพันกันที่ว่ามันซับซ้อนเกินกว่าที่จะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งมองได้อย่างครบรอบด้าน จึงควรมีหน่วยงานวิชาการที่รวมเอานักคิด นักเทคโนโลยี นักสังคม นักเศรษฐศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อม นักสาธารณสุข นักปกครอง ฯลฯมาช่วยกันระดมสมอง และสังเคราะห์จัดทำเป็นภาพรวมของโจทย์วิจัยภาพใหญ่ โดยเอาประเด็นต่างๆ มาบูรณาการและคิดไปพร้อมกัน มิใช่เพียงศึกษาหามาตรการทางวิศวกรรมมาแก้ปัญหาดังที่ทำกันมาแต่เดิม จากนั้นจึงแบ่งย่อยออกเป็นโครงการที่เล็กลงให้นักวิจัยจากต่างมหาวิทยาลัย ต่างสถาบัน ต่างหน่วยงาน ไปทำการวิจัยจนได้ข้อมูลมากพอที่จะนำมาสรุปรวม รวมทั้งวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นภาพใหญ่ เพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบาย แผน แผนงาน และมาตรการ รวมทั้งมาตรฐาน ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ อปท.นำไปถือปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ควรมีการจัดหลักสูตรการศึกษาที่สอนให้ทั้งระดับนักเรียนและนักศึกษา เข้าใจในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนอันเป็นการเชื่อมโยงมิติสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อสร้างการยอมรับของสาธารณะให้มีมากขึ้นโดยเฉพาะกับคนรุ่นต่อไปในอนาคตของประเทศ ผู้กำหนดนโยบายด้านฝุ่น PM2.5 จากข้อสรุปที่ได้มาจากการศึกษาวิจัยและสังเคราะห์เป็นข้อเสนอแนะที่ได้กล่าวมานี้ ต่อไปเป็นหน้าที่ของภาคนโยบายซึ่งหมายถึงตั้งแต่ระดับบน เช่น คณะรัฐมนตรี(ครม.) คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(ศสช.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไปจนถึงระดับกลาง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องนำข้อเสนอเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นนโยบายระดับชาติและระดับปฏิบัติการ ตลอดจนต้องออกเป็นแผนและข้อกำหนด รวมทั้งมีการติดตามแผนเหล่านั้นอย่างเข้มงวด โดยต้องย้ำหลักคิด “ขาดทุนคือกำไร” มาเป็นฐานในการกำหนดนโยบายเหล่านี้ ภาคประชาชน ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นการทำงานอย่างมอง 360 องศาในรูปแบบ“บนลงล่าง” ใช้ผู้รู้และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ มาช่วยกันกำหนดแผนงานที่จะให้หน่วยปฏิบัตินำไปปฏิบัติ แต่แค่นั้นคงได้ผลเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งต้องมาจากพวกเรากันเองที่จะต้องร่วมมือกันช่วยลดปัญหานี้ในลักษณะการมีส่วนร่วมแบบ“ล่างขึ้นบน” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงกดดันทางสังคมให้เกิดการงดการเผา โรงงานต้องเข้มงวดกับตัวเอง ในการไม่ปล่อยสารมลพิษอากาศออกมา หรือประชาชนก็ต้องหัดใช้การเดินทางทางเลือก เช่น ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ใช้การเดินหรือจักรยานเป็นพาหนะในการเชื่อมต่อกับระบบรถ ราง เรือ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อใครที่ไหน แต่เป็นการทำเพื่อตัวเราเอง เพื่อลูกหลานอันเป็นที่รักของเรา และเพื่อพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อภัย PM2.5 ซึ่งเราในที่นี้คือจตุภาคีหรือข้าราชการ นักวิชาการ ผู้ประกอบการเอกชนและประชาชนนั่นเอง กทม. ยกระดับจัดการฝุ่น "PM 2.5" เป็น ระยะ 2 จากมาตรการแผนแก้ไขปัญหาฝุ่น 4 ระยะ ตั้งแต่ 1 ธ.ค - 28 ก.พ 64 ดังนี้ วันที่ 15 ธ.ค.2563 ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) แถลงสถานการณ์และแนวทางการจัดการฝุ่น PM 2.5 ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สรุปการแถลงการณ์ฉบับเข้าใจง่ายไว้ ที่นี่แล้ว กทม. ยกระดับจัดการฝุ่นเป็น ระยะ 2 โฆษกกรุงเทพมหานครเปิดเผยกรณีสถานการณ์การสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครขณะนี้ ว่า วานนี้ (14 ธ.ค.63) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เฉลี่ย 60 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร วันนี้ (15 ธ.ค.63) ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เฉลี่ย 74.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร กรุงเทพมหานครได้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ล่วงหน้ากว่า 2 เดือนแล้ว โดยแบ่งมาตรการดำเนินการตามระดับความเข้มข้นของค่าฝุ่นละออง สำหรับมาตรการที่กรุงเทพมหานครดำเนินการที่ได้ทำไปแล้ว อาทิ การควบคุมพื้นที่ก่อสร้าง การงดกิจกรรมกลางแจ้งในโรงเรียน การเผาในที่โล่ง การล้างถนน การฉีดละอองน้ำ และการเปิดคลินิกมลพิษ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ยกระดับเพิ่มมากขึ้น กทม.ได้ยกระดับมาตรการเป็นระดับที่ 2 ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายควบคุมไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่และเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบ กวดขัน การออกหน่วยสาธารณสุขให้บริการประชาชนในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง ในส่วนของกิจกรรมก่อสร้างขนาดใหญ่ อาคาร รถไฟฟ้า หรือการก่อสร้างอื่นที่ทำให้เกิดฝุ่น การถมดิน การขนย้ายอุปกรณ์ จะประสานเจ้าของกิจการให้งดดำเนินการ ยกเว้นการตกแต่งภายในยังคงสามารถทำได้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น สำหรับสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานเขตร่วมกับโรงเรียนพิจารณาว่าโรงเรียนใดอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และไม่สามารถจัดหาห้องที่มีเครื่องกรองอากาศได้ ให้ดำเนินการปิดเรียนตามความเหมาะสม กทม. ออกมาตรการแผนแก้ไขปัญหาฝุ่น 4 ระยะ ตั้งแต่ 1 ธ.ค - 28 ก.พ 64 ดังนี้ ระยะ 1 ค่าฝุ่นไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. มีการจัดการ 12 มาตรการ 1. ห้ามรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปเข้าพื้นที่ชั้นใน กทม. ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. 2. กำกับดูแลสถานที่ก่อสร้าง 3. ควบคุมสถานประกอบการ 4. ควบล้างถนน ดูดฝุ่นถนน 5. ตรวจควันดำเครื่องยนต์ฟรี 6. ควบคุมโรงงานปล่อยควันเกินมาตรฐาน 7. ดูแลเรื่องการเผาในที่โล่ง 8. งดกิจกรรมการแจ้งในเด็กเล็ก 9. ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณฝุ่น 10.เปิดคลินิกมลพิษ 11.ฉีดพ่นละอองน้ำ 12.เปิดสายด่วนแจ้งเบาะแสรถควันดำ ให้บริการแอปพลิเคชันตรวจเช็คค่าฝุ่น ระยะ 2 ค่าฝุ่น 50-75 มคก./ลบ.ม. มีการจัดการ 7 มาตรการ 1. หยุดก่อสร้างที่มีฝุ่นทุกประเภท 2. ปิดโรงเรียนครั้งละไม่เกิน 3 วัน 3. จัด Safe Zone ในทุกโรงเรียนของ กทม. 4. ห้ามจอดรถริมถนน 5. ออกหน่วยบริการสาธารณสุข 6. กทม. เก็บขยะมูลฝอยก่อน 04.00 น. 7. บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในการเผา ระยะ 3 ค่าฝุ่นเกิน 76 มคก./ลบ.ม. มีการจัดการ 6 มาตรการ 1. หยุดก่อสร้างรถไฟฟ้า 2. ปิดโรงเรียนครั้งละไม่เกิน 15 วัน 3. จับ-ปรับ จอดรถไม่ดับเครื่อง 4. เข้มงวดบุคลากร กทม. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว 5. เข้มงวดจับปรับเผาในพื้นที่โล่ง 6. ตรวจสอบควันดำรถยนต์ ระยะยาว การจัดการฝุ่น 8 มาตรการ 1. เพิ่มพื้นที่สีเขียวจากปี 62 ขึ้น 632 ไร่ 3 งาน 31.85 ตร.วา เฉลี่ยอัตราต่อจำนวนประชากรเป็น 7.08 ตร.ม./คน 2. เพิ่มการขนส่งมวลชนที่ใช้พลังงานสะอาด ลดจำนวนคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวและรถเมล์ได้วันละ 237,700 คน/วัน 3. เพิ่มสถานีรถไฟฟ้า BTS จากปี 62 จำนวน 28 สถานี 4. ให้บริการเรือโดยสารคลองผดุงกรุงเกษม พลังงานสะอาด 100% ลดฝุ่น ลดเสียง ไม่มีควัน จำนวน 10 ลำ 5. ให้บริการรถ shuttle bus ไฟฟ้า ลดรอยต่อการเดินทาง จำนวน 2 เส้นทาง 6. เฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน 7. ภาคเกษตรปลอดการเผา 8. เพิ่มเทคโนโลยีตรวจจับควันดำ ฉีดน้ำลดฝุ่นให้ถูกวิธี ทำอย่างไร นอกจากนี้ โฆษกกรุงเทพมหานคร ยังแนะนำว่าการฉีดพ่นน้ำ หรือละอองน้ำลดฝุ่นละอองก็เป็นหนึ่งในมาตรการจัดการฝุ่นเช่นเดียวกัน แต่ต้องมีการฉีดพ่นที่ถูกวิธีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ คือ 1. ฉีดน้ำ ล้างต้นไม้ เพื่อชะล้างฝุ่น PM2.5 ที่เกาะอยู่กับใบไม้ และให้ใบไม้สะอาด เพื่อใช้ดักจับฝุ่นใหม่ต่อไป 2. ฉีดน้ำ ล้างถนน เพื่อล้างฝุ่น PM 10 ลงท่อระบายน้ำ ป้องกันฝุ่นไม่ให้ฟุ้งกระจายกลับขึ้นมาในอากาศ 3. ฉีดน้ำ บริเวณเขตก่อสร้าง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น PM 10 และไม่ให้แตกตัวเป็น PM 2.5 4. ฉีดน้ำ รอบอาคารสูงเกิน 100 เมตร หรือตึกสูงประมาณ 28 ชั้น เพื่อลดปริมาณฝุ่นรอบ ๆ อาคาร (ช่วยคนที่อยู่ภายในอาคาร) แต่ทั้งนี้การฉีดพ่นน้ำขึ้นบนอากาศ และการใช้สปริงเกอร์ เป็นวิธีการที่ช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้น้อยมากควรทำตามวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 นับครั้งไม่ถ้วนที่เว็บไซต์ IQ Air รายงานว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีฝุ่นมลพิษ PM2.5 เป็นอันดับหนึ่งของโลก อันที่จริงคนเชียงใหม่เริ่มพูดถึงปัญหาการมองไม่เห็นดอยสุเทพตั้งแต่ปี 2549 และเชียงใหม่ก็เคยติดอันดับหนึ่งในเรื่องมลพิษมาก่อนแล้ว แต่ภาครัฐเพิ่งเริ่มตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ปี 2561 เมื่อกรมควบคุมมลพิษเริ่มนำค่า PM2.5 มารวมคำนวณในดัชนีคุณภาพอากาศ ในปีต่อมารัฐบาลได้ประกาศให้ปัญหา PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดมาตรการต่างๆ เช่น ห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง ตรวจจับรถควันดำ ฯลฯ นอกจากนั้นก็มีโครงการวิจัยเรื่องฝุ่น PM2.5 จำนวนนับร้อยโครงการ แต่ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาประชาชนยังเผชิญหน้ากับฝุ่นควันที่เริ่มมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่ทุเลาลงในช่วงวิกฤติโควิด และแทบสิ้นหวังกับทางออกที่แสนริบหรี่ รูปที่ 1-2 แสดงแนวโน้มปริมาณ PM2.5 มีปริมาณ PM2.5 แนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 2554-2559 แล้วลดลงในช่วงปี 2560-2564 เพราะผลกระทบของโควิด จากนั้นก็สูงขึ้นอีกครั้ง หากเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียน ไทยมีปัญหา PM2.5 สูงกว่า เช่นปี 2562 ค่า PM2.5 ของไทยคือ 27.4 ไมโครกรัมต่อตร.ม. มาเลเซีย 16.6 มก/ตรม. อินโดนีเซีย 19.4 เวียดนาม 20.41 คำถาม คือ ทำไมการแก้ปัญหา PM2.5 จึงยังไม่ประสบความสำเร็จ รูปที่ 1 รูปที่ 2 1. ผลกระทบจาก PM2.5 สถานการณ์ฝุ่นควันสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและผลเสียมีแนวโน้มทวีความรุนแรง ธนาคารโลกประเมินว่าต้นทุนเศรษฐกิจของไทยเพิ่มจาก 2.10 แสนล้านบาทในปี 2533 เป็น 8.71 แสนล้านบาทในปี 2556 และจากการศึกษาของวิษณุ อรรถวานิช (2562) พบว่า มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจของครัวเรือนไทยสูงถึง 2.17 ล้านล้านบาท/ปี เฉพาะครัวเรือนในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีค่าความเสียหายต่อครัวเรือน 4.36 แสนล้านบาท/ปี ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด คือ ต้นทุนสุขภาพ ข้อมูลของ State of Global Air รายงานว่าไทยมีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 ถึง 32,200 คนในปี 2562 (หรือ 33.1 คนต่อประชากรแสนคน) ข้อมูลการวิเคราะห์ 36 จังหวัดที่เผชิญหน้ากับปัญหามลพิษทางอากาศของ Green Peace เผยว่า ในปี 2564 ตัวเลขผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากPM2.5 สูงถึง 29,000 ราย นับเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ยาเสพติด และการฆาตกรรมรวมกันเสียอีก อย่างไรก็ตามอัตราการเสียชีวิตจาก PM2.5 ของไทย (33.1 คนต่อประชากรแสนคนในปี 2562) ยังต่ำกว่าเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย 43.6 เวียดนาม 44.8 อินโดนีเซีย 56.0 (www.stateofglobalair.org/data) ต้นทุนอีกประเภทที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักคือมลพิษจากฝุ่น PM2.5 กำลังสร้างความเสียหายต่อคุณภาพดิน น้ำและการเติบโตของสิ่งมีชีวิตในป่า รวมทั้งความหลากหลายด้านชีวภาพ ในสหรัฐอเมริกามีระบบติดตามและแก้ปัญหามลพิษจาก PM2.5 ที่อยู่ในรัศมี 124-186 ไมล์รอบอุทยานสำคัญต่างๆ 2. ต้นตอใหญ่ของ PM2.5 ปรกติแล้วฝุ่น PM2.5 จะเกิดขึ้นมาก ในช่วงปลายหนาวถึงต้นฤดูแล้ง (มกราคม-มีนาคม) ทั้งนี้เพราะความกดอากาศสูงที่แผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือมีกำลังอ่อนลง ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลง หรือมีลมสงบ ประกอบกับการผกผันกลับของอุณหภูมิในอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศร้อนด้านบนกดทับอากาศเย็นเหมือนมีฝาครอบ การไหลเวียนและถ่ายเทอากาศไม่ดี ฝุ่นควันจึงสะสมในอากาศ และสภาพอากาศแห้งยังเอื้อต่อการเกิดไฟป่าง่ายอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขตภาคเหนือยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านภูมิประเทศที่เป็นที่ราบล้อมรอบไปด้วยภูเขา ลักษณะเหมือนแอ่งกระทะ การสะสมหมอกควันในอากาศจึงรุนแรงกว่าพื้นที่อื่น ฝุ่น PM2.5 เกิดจากแหล่งกำเนิดโดยตรง (เช่น การเผาในที่โล่งแจ้งในชนบทและในป่า การขนส่ง การผลิตไฟฟ้าและโรงงาน) และแหล่งกำเนิดทางอ้อมที่เกิดจากการรวมตัวของก๊าซและมลพิษในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ ต้นตอใหญ่ที่สุดของฝุ่น PM2.5 คือการเผาในที่โล่งในพื้นที่เกษตร และไฟไหม้ป่า รายงานการศึกษาในอดีตระบุว่าการเผาในที่โล่งในพื้นที่เกษตรก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 ประมาณ 209,937 ตัน) รองลงมาคือ อุตสาหกรรม (65,140 ตัน/ปี[2]) และการขนส่ง (50,200 ตัน/ปี) และการผลิตไฟฟ้า (31,793 ตัน/ปี) ส่วนแหล่งกำเนิดทางอ้อมของ PM2.5 ที่สำคัญที่สุด คือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินและน้ำมัน (231,000 ตัน/ปี) จากโรงงานอุตสาหกรรม (212,000 ตัน/ปี) ส่วนต้นตอสำคัญของไนโตรเจนออกไซด์ คือ การขนส่ง (246,000 ตัน/ปี) การผลิตไฟฟ้า (227,000 ตัน/ปี) และโรงงานอุตสาหกรรม (222,000 ตันต่อปี) ตามลำดับ ในเขตเมืองใหญ่ๆโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ต้นตอที่ทำให้เกิด PM2.5 มากที่สุดมาจากไอเสียจากรถยนต์ผนวกกับการจราจรที่ติดขัด โดยเฉพาะจากพาหนะเครื่องยนต์ดีเซลที่มีกระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เกิดเขม่าและฝุ่นควันมาก ยิ่งกว่านั้นไทยยังคงควบคุมมลพิษจากเครื่องยนต์ด้วยมาตรฐานยูโร 4 ต่ำกว่ายุโรป (ยูโร 5-6) รถยนต์ดีเซลในไทยตามมาตรฐานยูโร 4 ปล่อยอนุภาคฝุ่นระดับ 10 ไมครอน 0.025 กรัมต่อกม. เทียบกับยูโร 5-6 ที่ปล่อยอนุภาคฝุ่นไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกม. รองลงมา คือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม การเผาเศษขยะ และกิจกรรมในครัวเรือน ส่วนต้นตอในชนบท ส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาวัสดุการเกษตรทั้งในที่โล่งและที่ไม่โล่ง เช่น การเผาอ้อยก่อนตัด การเผาตอซังในไร่ข้าวโพด และนาข้าว เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดแรงงานและค่าใช้จ่ายสำหรับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย การเผาขยะ ในบางพื้นที่มีการเผาเพื่อหาของป่า การเผาเพื่อบุกรุกพื้นที่ป่าและจับจองพื้นที่เพื่อทำมาหากิน และไฟป่าโดยเฉพาะในปีถัดมาหลังจากมีฝนตกชุกในปีก่อน ทำให้มีความชื้นสะสมในป่า นอกจากต้นเหตุที่เกิดภายในประเทศแล้ว ฝุ่นควันที่พัดมาจากประเทศเพื่อนบ้านอันเนื่องจากการเผาวัสดุทางการเกษตรหลังจากการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และอ้อยก็เป็นอีกต้นตอหนึ่งโดยเฉพาะจังหวัดในภาคเหนือที่อยู่ติดชายแดนพม่าอย่าง จ.ตาก จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงราย และภาคตะวันออกที่ติดเขมร ฝุ่นควันดังกล่าวอยู่นอกเหนืออำนาจการจัดการของรัฐไทย ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของฝุ่นมลพิษนี้เรียกว่า airshed หรือ แอ่งฝุ่น PM2.5 (ดูคำอธิบายในตอนที่ 4) 3. ทำไมการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จึงยากมาก: สาเหตุด้านระบบการผลิตและพฤติกรรม การแก้ปัญหา PM2.5 ให้ได้ผลจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องสาเหตุต่างๆที่สลับซับซ้อน ตั้งแต่สาเหตุด้านระบบการผลิตทั้งในภาคเกษตร โรงไฟฟ้า การขนส่ง และโรงงานอุตสาหกรรม พฤติกรรมของคนในเมืองและเกษตรกร ข้อจำกัดและจุดอ่อนของนโยบายและแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐ และข้อจำกัดด้านการเมือง เป็นต้น ในเขตชนบท การเผาส่วนใหญ่เกิดในป่าผลัดใบ (มากกว่า 65 %) รองลงมาคือป่าไม่ผลัดใบและพื้นที่การเกษตร จุดที่เผาส่วนใหญ่ห่างจากหมู่บ้านและชุมชน มักเกิดในบริเวณใกล้ป่าสงวนมากกว่าป่าอนุรักษ์ แม้แต่ละพื้นที่จะมีสาเหตุและช่วงเวลาของการเผาแตกต่างกันไป แต่ก็มีสาเหตุร่วมกันคือ การเผาวัสดุการเกษตร เผาเพื่อเตรียมทำไร่ หาของป่า จับจองพื้นที่ หรือเพื่อจัดการพื้นที่ป่ารกร้าง ทั้งนี้สาเหตุเชิงซ้อนมีหลายมิติ อาทิ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ อาชีพ (หาของป่ามีรายได้ดีกว่าทำเกษตร) ความยากจน ขาดแรงงาน วัฒนธรรม หรือรสนิยมชอบกินของป่า ขาดเทคโนโลยีที่เป็นไปได้สำหรับการปรับเปลี่ยนชนิดพืชจากข้าวโพด รวมทั้งเทคโนโลยีการจัดการวัสดุการเกษตรที่มีต้นทุนต่ำกว่าการเผา (ศุทธินี ดนตรี, 2556) รวมทั้งปัญหาด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรอีกด้วย เหตุผลสำคัญที่เกษตรกรยังคงต้องเผาวัสดุการเกษตรในแปลงนาข้าวและข้าวโพด หรือ เผาไร่อ้อยก่อนตัด (ทั้งๆที่มีแรงจูงใจรับซื้ออ้อยที่ไม่เผาในราคาสูง) คือ การขาดแคลนแรงงานและการใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวที่ต้องลงทุนสูงในการปรับพื้นที่ไร่ให้เสมอ แปลงไร่มีขนาดเล็กจนไม่คุ้มที่จะใช้เครื่องจักร หรือขาดวิธีการจัดการวัสดุการเกษตรในแปลงข้าวโพด และนาข้าวที่มีต้นทุนจัดการต่ำกว่าการเผา หรือการทำนาติดต่อกัน 3 รอบต่อปีทำให้ไม่มีเวลานานพอที่ตอซังและฟางที่ไถกลบจะย่อยสลายได้ทัน ส่วนการทำไร่ข้าวโพดบนเขาก็ไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้ ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีพืชทดแทนข้าวโพดที่ปลูกง่าย พ่อค้ายินดีให้สินเชื่อเพื่อเพาะปลูก ขายสะดวก และได้กำไรไม่น้อยกว่าข้าวโพด ไม่มีพืช/อาชีพที่ให้รายได้สูงกว่าการเผาป่าเพื่อเก็บเห็ดเผาะและของป่า รวมทั้งการที่มีนายทุนจ้างชาวบ้านเผาป่าเพื่อยึดครองที่ดิน การแก้ปัญหาPM2.5 ในเมืองเป็นเรื่องยากทั้งด้านโครงสร้างการผลิต และเหตุผลด้านการเมือง ในด้านโครงสร้างการผลิต ต้องมีการเปลี่ยนรถยนต์ เครื่องจักรในโรงงาน และโรงไฟฟ้า จากการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นไฟฟ้าหรือพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะต้นทุนจากการเปลี่ยน รถยนต์ปิ๊กอัพ และรถบรรทุกที่ใช้ดีเซลจำนวนมาก ไปเป็นรถไฟฟ้า หรือการใช้ไฮโดรเจนในอนาคต (เฉพาะในกทม. มีรถปิ๊กอัพ 3.2 ล้านคัน คิดเป็น 27.5% ของปริมาณรถทั้งหมด 11.65 ล้านคัน กรมขนส่ง, 31 ม.ค. 2566) รวมทั้งต้นทุนการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จไฟทั่วประเทศ และความไม่สะดวกที่ต้องใช้เวลาชาร์จไฟฟ้านาน นอกจากภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องใช้เงินมหาศาลในการลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักรเครื่องยนต์แล้ว ยังต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมือง แค่การประกาศใช้มาตรฐานควบคุมมลพิษของรถยนต์รุ่นใหม่เป็นยูโร 5 ตามวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองที่จะต้องเริ่มในปี 2564 ก็ถูกครม.ประกาศเลื่อนไปเป็นปี 2567 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา (ทั้งๆที่เรากำลังเผชิญปัญหา PM2.5 อย่างหนัก) นโยบายที่ยากกว่าเรื่องยูโร 5 ได้แก่ การยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล[1]ในระยะสั้น และขึ้นภาษีน้ำมันดีเซล (แล้วประกาศยกเลิกการใช้รถที่ใช้ดีเซลในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีช่องว่างความรู้หลายประการที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการแก้ปัญหาให้ได้ผลจริง ในปัจจุบัน ยังไม่มีงานวิจัยที่จัดลำดับความสำคัญของสาเหตุการเผาและปัญหาหมอกควันเป็นรายพื้นที่ เช่น รายอำเภอ/รายตำบล เพื่อจัดลำดับความสำคัญของนโยบายและมาตรการแก้ไข ข้อเสนอเรื่องการปลูกพืชทดแทนข้าวโพดบนพื้นที่สูง และการลดการเผาวัสดุการเกษตรบนที่สูง และการเผาเพื่อหาของป่าที่ให้รายได้สูงกว่าการทำเกษตรทั้งปี ยังขาดการศึกษาพฤติกรรมเกษตรกรว่าทำไมเกษตรกรไม่ปรับเปลี่ยน การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของพืชทางเลือกสำหรับเกษตรกร และนโยบายพัฒนาอาชีพนอกภาคเกษตรให้คนบนที่สูงควรอย่างไร ขาดการบูรณาการความรู้ของนักวิจัยภายในชุมชนกับนักวิจัยจากภายนอก (ที่ทำวิจัยในภาพใหญ่ระดับอำเภอ/จังหวัด) และเจ้าหน้าที่รัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น เมื่อขาดการบูรณาการความรู้ดังกล่าว ก็ไม่สามารถให้ข้อเสนอนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพราะเราต่างคนต่างคิดต่างทำแบบแบ่งแยก ยังขาดความรู้เรื่องขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของฝุ่น PM2.5 ที่เรียกว่า airshed หรือแอ่งฝุ่นมลพิษ และจำนวนแอ่งดังกล่าว 4. ทำไมการแก้ปัญหาหมอกควันของรัฐจึงล้มเหลว: ข้อจำกัด 3 ด้าน นอกจากข้อมูลดัชนี PM2.5 และดัชนี IQAIR ที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเอเชียใต้แล้ว หลักฐานแสดงความล้มเหลวของนโยบายป้องกันฝุ่น PM2.5 คือ แผนและแนวทางปฏิบัติการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควันของเชียงใหม่ในปี 2561 – 2562 ที่เน้นมาตรการป้องกัน และมาตรการการกำหนดช่วงเวลาห้ามเผาในที่โล่งโดยเด็ดขาด ผลการดำเนินงานปรากฎว่า จำนวนวันที่ค่า PM10 เกินมาตรฐาน สูงถึง 37 วัน เทียบกับตัวชี้วัดที่ต้องไม่เกิน 10 วัน ความล้มเหลวของรัฐมาจากข้อจำกัดและจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ประการแรก แนวทางการจัดการฝุ่น PM2.5แบบภัยพิบัติ ไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม เช่นการตั้งกรรมการในเดือนตุลาคมก่อนมีฝุ่น PM2.5และสลายตัวเดือนพฤษภาคม ทำให้ขาดความจำสถาบัน ขาดการจัดการและการศึกษาวิเคราะห์แบบต่อเนื่องโดยมืออาชีพ กรณีนี้ต้องเปลี่ยนระบบการจัดการเป็นการจัดการเชิงโครงสร้าง ประการที่สอง ท้องถิ่นขาดเงิน และถูกซ้ำเติมจากกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการ แม้ว่าสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงบประมาณได้ริเริ่มให้มีการจัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการให้จังหวัด และกลุ่มจังหวัดภายใต้โครงสร้างการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ.2560 และตั้งแต่ปี 2561 มีการตั้งคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นเลขา โดยมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการกำหนดนโยบายแผนพัฒนาภาคแบบ One Plan ทำงานแบบเครือข่าย มีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดผ่านกระบวนการล่างสู่บน (Bottom Up) โดยมีคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) เป็นผู้ทำแผนระดับรอง ส่วน ก.บ.จ. คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) จัดทำแผนพัฒนาจังหวัดระดับอำเภอตามความต้องการของตำบล/หมู่บ้าน และมีอนุกรรมการของ ก.บ.ภ. (คณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค) กลั่นกรองแผนที่ ก.บ.ภ. อนุมัติ ส่วน สศช.กำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณกลุ่มจังหวัดร้อยละ 30 และจังหวัดร้อยละ 70 ซึ่งแบ่งงบบูรณาการเป็น 2 ประเภท ได้แก่ งบบูรณาการตามยุทธศาสตร์ (Agenda) และบูรณาการตามพื้นที่ใต้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แต่ในทางปฏิบัติ ผลการดำเนินงานช่างน่าผิดหวัง เพราะไม่มีแผนแบบล่างสู่บนในพื้นที่จริงที่เป็นการบูรณาการแผนระหว่างหน่วยงานต่างๆ การจัดสรรงบประมาณยังไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยหน่วยงานส่วนภูมิภาคสามารถตั้งงบประมาณได้ 2 ช่องทางคือ (ก) ช่องบูรณาการกลุ่มจังหวัด (ข) ช่อง Agenda ตามอำนาจของกรม (รวมทั้งกรมที่ไม่ได้บูรณาการกับกรมอื่นๆ) ภายใต้อำนาจเต็มในการตัดสินใจ/จัดสรรงบของสำนักงบประมาณ สำหรับงบ Agenda ของหน่วยราชการส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาคมีอธิบดีและรัฐมนตรีว่าการ (รมว.) ต่อรองกับสำนักงบประมาณโดยตรง แต่งบบูรณาการภาค/จังหวัดไม่มีเจ้าภาพแท้จริง จึงไม่มีอำนาจต่อรองกับสำนักงบประมาณ พูดให้เห็นภาพคือ ของบ 4 บาท ได้มาแค่ 1 บาท แถมต้องหารเฉลี่ยระหว่างจังหวัด งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัดจึงน้อยมาก และยังมีแนวโน้มลดลงมากเพราะกรมต่างๆ ไม่สามารถใช้งบได้ตามเป้า และข้อจำกัดห้ามย้ายงบข้ามกรม งบจังหวัดจึงลดลงจาก 48,611 ล้านบาทในปี 2561 เหลือ 19,600 ล้านบาทในปี 2563 และงบกลุ่มจังหวัดลดลงจาก 16,332 ล้านบาทในปี 2561 เหลือ 8,400 ล้านบาทในปี 2563 และตัวเลขกรอบการจัดสรรงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในปี 2567 ยังเท่ากับปี 2563 (สศช. 2565) ยิ่งไปกว่านั้น ยังติดปัญหาผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงบบูรณาการกลุ่มจังหวัดได้ แต่โยกย้ายงบไม่ได้ ด้วยกฎหมายห้ามหน่วยราชการใช้งบประมาณเพื่อทำงานของกรม/กระทรวงอื่น ตัวอย่างเช่น การวางสายไฟลอดใต้ทะเลจากเกาะในอ่าวพังงาถึงชายฝั่ง มีพื้นที่ทับซ้อนหลายหน่วยงาน คือ การประปาส่วนภูมิภาค กรมอุทยานแห่งชาติ กรมทรัพยากรทางทะเล แต่ละกรมต้องต่างคนต่างของบ ต่างคนต่างจัดจ้างจัดซื้อ นอกจากนี้ การเบิกจ่ายเงินหลวงมีขั้นตอนมากมาย ลัดขั้นตอนไม่ได้ เช่นเงินชดเชยภัยพิบัติใช้เวลาเบิกมากถึง 3 – 6 เดือน เพราะระเบียบราชการยังติดกับดักการตรวจสอบ สร้างอุปสรรคอย่างมากต่อการบูรณาการการทำงาน โดยมีหน่วยงานตรวจสอบถึง 4 หน่วย ได้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กรมบัญชีกลาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ความยากลำบากประการที่สาม คือ แม้จะมีการจัดการฝุ่น PM2.5 ภายในจังหวัดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีความร่วมมือจากหน่วยราชการต่างๆ ชุมชน และกลุ่มประชาสังคม มีมาตรการป้องกันทั้งในเมืองและชนบท ก็ไม่อาจแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ ดั่งประสบการณ์ของกลุ่มประชาสังคมในเชียงใหม่ ที่มีการจัดการร่วมกันเป็นกลุ่มจังหวัด ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะฝุ่น PM2.5 ส่วนหนึ่งพัดข้ามมาจากจังหวัดใกล้เคียงในภาคเหนือและประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะชายแดนฝั่งพม่าที่ปลูกข้าวโพด ส่วนชายแดนเขมรก็มีการปลูกอ้อยและเผาไร่อ้อย ทำให้ฝุ่น PM2.5 พัดเข้าถึงกรุงเทพฯ แต่นักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายของไทยยังไม่มีข้อมูลและความรู้ว่าขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของฝุ่น PM2.5 ที่เรียกว่า airshed (คล้ายกับขอบเขตของลุ่มน้ำที่เรียกว่า watershed) เช่น ในภาคเหนือ airshed กินพื้นที่เท่าไร และในประเทศไทยมี airshed กี่แห่ง แต่ละแห่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดใดทั้งในประเทศและนอกประเทศ เรารู้แค่หยาบๆว่า 60-65% ของฝุ่นpm2.5 ในเชียงใหม่มาจากต่างจังหวัดและประเทศเพื่อน การกำหนดขอบเขตของ airshed ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและผู้เชี่ยวชาญหลายด้านเพื่อสร้างแบบจำลอง เพราะนอกจากสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว สภาพภูมิประเทศก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในภาคเหนือที่เป็นหุบเขาจากใต้ไปสู่ทิศเหนือ ประกอบกับแอ่งกระทะหลายๆแอ่ง ทำให้ฝุ่นที่พัดเข้ามาจากตะวันออกติดอยู่ในแอ่งเหล่านั้นในช่วงปลายฤดูหนาวต่อกับต้นฤดูร้อน 5. สรุป และ ข้อเสนอแนะ กฎหมายและระบบบริหารงานราชการสร้างกับดักการบริหารงานแบบบูรณาการเชิงพื้นที่ เพราะเป็นการบริหารแบบรวมศูนย์แต่แยกส่วน แบบกรมมาธิปไตย ต่างคนต่างคิดต่างทำ และการบริหารจัดการหมอกควันยังเป็นเรื่องภัยพิบัติตามฤดูกาล มีการตั้งคณะกรรมการช่วงเดือนตุลาคม และยุบเดือนพฤษภาคม จากนั้นจึงตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ในรอบถัดไป ขาดความต่อเนื่องของการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามบูรณาการนโยบายและงบประมาณเพื่อพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดล้มเหลว เพราะการจัดสรรงบประมาณไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ถูกกำหนดโดยกรมต่างๆ ในจังหวัดที่มีอำนาจตามกฎหมาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกระจายอำนาจส่วนนี้ ข้อเสนอแนะด้านการปรับเปลี่ยนนโยบายการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 จากระดับล่างสู่บน -เร่งศึกษาวิจัยเพื่อกำหนดขอบเขต airshed ของฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหาข้ามจังหวัดและข้ามประเทศ -นโยบายจัดทำแผนปฏิบัติด้านการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 โดยความร่วมมือของชุมชนอบต. หน่วยราชการในพื้นที่จังหวัดต่างๆที่อยู่ใน airshed เดียวกัน แต่ใช้ระบบจัดสรรงบประมาณให้เป็นกลุ่ม airshed ตามแผนปฏิบัติการไม่ใช่กระจายให้กรมต่างๆแบบปัจจุบัน การบริหารจัดการงบประมาณบูรณาการแบบพื้นที่ airshed นี้ควรเป็นอำนาจโดยตรงของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แบบ agenda based ที่ยังอยู่ในความรับผิดชอบของกรมต่างๆ และงบประมาณบูรณาการแบบกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีเจ้าภาพ -สร้างความร่วมมือในการป้องกันและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ภายในแต่ละ airshed กับประเทศเพื่อนบ้าน และนักธุรกิจไทยที่ไปส่งเสริมการปลูกข้าวโพด และอ้อยในพม่า ลาว เขมร ดังตัวอย่างความสำเร็จของแคลิฟอร์เนีย บริติชโคลัมเบียในแคนาดาที่ใช้ airshed เป็นเครื่องมือติดตามและป้องกันฝุ่น PM2.5 มาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และขณะนี้จีนและอินเดียที่มีปัญหาฝุ่นpm2.5 สูงที่สุดในโลก ได้นำแนวคิดดังกล่าวไปใช้แล้ว นโยบายลดการเผาในที่โล่งในภาคเกษตรและป่า -ระยะสั้น นโยบายลดการเผา ทยอยกันเผา เช่น การอุดหนุนเกษตรกรที่ต้องการปรับระดับแปลงไร่นาเพื่อใช้เครื่องจักรแทนการเผา -ระยะกลาง วิจัย/พัฒนาพืชทดแทน สร้างอาชีพใหม่ ตัวอย่างที่น่าจะเป็น best practices คือ กระบวนการทำงานของมูลนิธิปิดทองหลังพระในจังหวัดน่านกว่า10 ปี จึงประสบความสำเร็จสามารถคืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ดำเนินการแก้ปัญหาเขาหัวโล้นในบางหมู่บ้านให้ประเทศได้ โดยชาวบ้านมีรายได้ที่ดีจากอาชีพที่หลากหลาย -สร้างตลาดคาร์บอนภาคบังคับ เพื่อให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทางออกที่น่าจะมีความเป็นไปได้สำหรับเกษตรกรบนที่สูง โดยเฉพาะเกษตรกรสูงอายุ คือการปลูกป่าเพื่อขายคาร์บอนเครดิต แต่แนวทางนี้จะได้ผลต่อเมื่อคาร์บอนเครดิตมีราคาสูงใกล้เคียงต้นทุนของก๊าซเรือนกระจกที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วโลก เงื่อนไขคือรัฐต้องสถาปนาตลาดคาร์บอนภาคบังคับ โดยกล้าที่จะเก็บภาษีคาร์บอนในอัตราเท่ากับต้นทุนทางสังคมจากกิจกรรมต่างๆที่ก่อก๊าซเรือนกระจก แล้วนำเงินรายได้มาใช้ซื้อคาร์บอนเครดิต รวมทั้งส่งเสริมการปลูกป่าและดูแลจัดการอย่างจริงจัง นโยบายในเมือง: การผลิตไฟฟ้า การขนส่ง อุตสาหกรรม สร้างตลาดคาร์บอนภาคบังคับ โดยเก็บภาษีคาร์บอน และการซื้อขายเครดิตคาร์บอนหนทางแก้วิกฤติทางอากาศในเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแต่การเปลี่ยนมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ไปเป็น Euro 6 เท่านั้น แต่ต้องยกเลิกการใช้เครื่องยนต์ดีเซลเหมือนในยุโรปในระยะยาว รัฐต้องมีมาตรการผลักดันและส่งเสริมให้ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ไฮโดรเจน แทน ซึ่งต้องอาศัยเงินอุดหนุนเป็นแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยน หนทางหนึ่งที่จะหารายได้เข้ารัฐและนำไปจ่ายเงินอุดหนุนได้ คือการเก็บภาษีน้ำมันดีเซลและกิจกรรมที่ก่อปัญหามลพิษในอากาศ นโยบายนี้จะสร้างผลดีถึง 2 ต่อ คือ การลดฝุ่น PM2.5 และก๊าซเรือนกระจก แต่ ณ เวลานี้ ไม่มีพรรคการเมืองไหนกล้าหาเสียงโดยใช้นโยบายนี้ ทั้งๆ ที่การใช้ดีเซลกำลังบ่อนทำลายสุขภาพคนไทย และอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เช่น ผลเสียต่อการท่องเที่ยวในระยะยาว บทความโดย นิพนธ์ พัวพงศกร กัมพล ปั้นตะกั่ว และสุทธิภัทร ราชคม บทความปรับปรุงจากการเสวนาวิชาการ เรื่อง เชียงใหม่ในหมอก : “เหลียวมองแนวทางและนโยบายแก้ปัญหา” จัดโดย สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ณ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 21 สิงหาคม 2562 เปิดแผนบริหารจัดการพลังงาน ลด "PM2.5" มุ่งสู่ประเทศสีเขียว “กระทรวงพลังงาน” ได้เร่งแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) โดยมีหัวเรือใหญ่คือ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นผู้เร่งจัดทำแผนเสนอกระทรวงพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero greenhouse gas emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 อย่างไรก็ตาม จากปัญหาค่าฝุ่น PM2.5 ถือเป็นปัญหาที่มาจากปัจจัยหลายส่วนหากเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ หลัก ๆ มาจากภาคขนส่งโดยเฉพาะการใช้รถยนต์บนท้องถนนที่มีการปล่อยมลพิษออกมาสู่สิ่งแวดล้อม ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดนั้นส่วนใหญ่จะมาจากปัญหาการเผาทิ้งสิ่งของที่ชาวไร่ชาวนาไม่ต้องการและกลายเป็นปัญหาควันพวยพุ่งอยู่ในอากาศ นายพิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้ร่วมกับทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน เพื่อแก้ปัญหา PM2.5 ในหลายมิติ ประกอบด้วย A : Application ผ่าน Sensor for all ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ร่วมกับ คณะวิศว จุฬาฯ รายงาน ทำนาย และเชื่อมโยงวิเคราะห์ข้อมูล PM2.5 พร้อมให้ประชาชน download ใน app store รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลคุณภาพอากาศจากการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าอีกด้วย ทำให้สร้างความมั่นใจ และสามารถติดตามข้อมูลประสิทธิภาพของระบบบำบัดมลพิษอากาศ รวมถึง PM2.5 ได้อย่างทันท่วงที B : BCG economic โมเดล ที่ประยุกต์ใช้ในภาคพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน ยกตัวอย่างเช่น Biomass / Biogas ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่ช่วยลดการเผาไหม้แบบ open burn ลด PM2.5 โดยตรง รวมถึงการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านพลังงานหมุนเวียนชนิดต่างๆ อาทิ แสงแดด ลม และ Hydrofloating solar นั้น จะส่งผลต่อการลดการเผาไหม้เชื่อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่งผลต่อการลดลงของ PM2.5 ด้วย C : CN in Energy สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว (Extream weather) ส่งผลต่อโดมความดันอากาศที่ปกคลุมและลดการกระจายตัวของ PM2.5 และมลพิษอากาศประเภทอื่น ๆ ดังนั้น การที่ประเทศไทยประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอนใน ปี 2050 รวมถึงภาคพลังงานและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องนั้น ส่งกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกกว่า 70-80% นั้นจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทางอย่างยั่งยืน ดังนั้น สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในแผนพลังงานชาติ รวมถึงการพัฒนาระบบการเผาไหม้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) จะเป็นกลไกที่สำคัญมากๆ ในภาคพลังงานของประเทศ D : Demand side management การรณรงค์ลด และหรือการบริโภคพลังงานอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการทราบแล้วเปลี่ยน ในทุกภาคส่วนนั้น (ครัวเรือน 25% และ ภาคเอกชน/อุตสาหกรรม 75% ของการใช้ไฟฟ้า) นับเป็นการลดการเผาไหม้เชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลต่อการเกิดฝุ่น PM2.5 อันเนื่องมาจากการผลิตพลังงาน รวมถึง ยังช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพง (LNG) ที่ราคาสูงมากๆ และเป็นต้นเหตุสำคัญต่อการเพิ่มสูงขึ้นของค่า Ft ในช่วงที่ผ่านมา E : EV ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นตามแผน 30@30 ของ กระทรวงพลังงานนั้น จะเป็นการลดการปล่อยปล่อย PM2.5 และ ก๊าซเรือนกระจกจากภาคการขนส่งโดยตรง อย่างมีผลกระทบสูงมากๆ ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยน EV ใน องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการลงทุน EV ที่เติบโตอย่างมาก ในประเทศไทย ค่า PM 2.5 วันนี้ (3 ก.พ.66) เตือน 43 จังหวัดคุณภาพอากาศแย่ เกินค่ามาตรฐาน นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ดำเนินงานภายใต้กรอบนโยบายของแผนพลังงานชาติที่มุ่งสู่พลังงานสะอาด ภารกิจตามแนวทาง 4D1E คือ Decarbonization: การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน Digitalization: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบพลังงาน Decentralization: การกระจายศูนย์การผลิตพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน Deregulation: การปรับปรุงกฎระเบียบรองรับนโยบายพลังงานสมัยใหม่ และ Electrification: การเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า ทั้งนี้ แผนพลังงานชาติ ได้รวมทั้ง 5 แผนพลังงานไว้ด้วยกัน ประกอบด้วย 1.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) 2.แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) 3.แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) 4.แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) และ 5. แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan) โดยคาดว่าจะประกาศใช้ภายในปี 2566 นี้ อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขที่ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละประมาณ 350 ล้านตัน ถือว่าสูงเป็นอันดับต้นของโลก โดยภาคที่ต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญคือ ภาคพลังงาน ภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง เพราะปล่อยก๊าซคาร์บอนรวมกันปีละราว 250 ล้านตัน ดังนั้น รัฐบาลได้ผลักดันการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเพิ่มพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างสมดุลที่มาจากพลังงาน ลม ชีวมวล และแสงอาทิตย์ ซึ่งต้องปรับเป้าหมายการทำแผนใหม่ ดังนั้น สนพ. จะต้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนสำคัญ ประกอบด้วย 1.ด้านไฟฟ้า เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (RE) ไม่น้อยกว่า 50% ให้สอดคล้องแนวโน้มต้นทุน RE ที่ต่ำลง โดยพิจารณาต้นทุนของระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ร่วมด้วย และไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าระยะยาวสูงขึ้น 2.ด้านก๊าซธรรมชาติ จะเน้นการเปิดเสรีและการจัดหาเพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบบพลังงานประเทศ และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็น Regional LNG Hub 3.ด้านน้ำมัน ต้องปรับแผนพลังงานภาคขนส่ง และพิจารณาการบริหารการเปลี่ยนผ่าน สร้างความสมดุลระหว่างผู้ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio Fuel) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการลดค่า PM2.5 ได้มากที่สุด 4.ด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จะส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนทุกภาคมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากทุกภาคส่วนให้เข้มข้นขึ้น 4 แนวคิดคนไทยรับมือฝุ่น PM2.5 ฝุ่นขนาดเล็กหรือฝุ่น PM2.5 กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา แม้ในตอนแรกจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าท้องฟ้าสีหม่นในยามเช้าคือหมอกชวนสดชื่น ทว่าความสดชื่นที่ใครหลายคนเปิดหน้าต่างรับและสูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอดนั้น แท้จริงแล้วคือเจ้าฝุ่นร้ายที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง หลาย ๆ คนจึงต้องงัดเอาความรู้ที่มีอยู่มาสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นเพื่อต่อกรกับวายร้ายรายนี้ 1. ดัดแปลงเครื่องปรับอากาศให้กลายเป็นเครื่องฟอกอากาศ เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางฝุ่นอันตรายเช่นนี้ เครื่องฟอกอากาศย่อมกลายเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้านที่ขาดไม่ได้ แต่เมื่อกัลยาณมิตรที่ว่ากลายเป็นของหายาก คุณทอยส์ วล็อกเกอร์ (Toys Vlogger) จากพันทิปจึงเสนอทางเลือกใหม่ในการสร้างมิตรคู่บ้านขึ้นใช้เอง ซึ่งพระเอกของแนวคิดนี้ก็ไม่ใช่ของไกลตัว แต่เป็นแผ่นกรองอากาศที่จะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับเครื่องปรับอากาศของเรานั่นเอง ปกติแล้วเครื่องปรับอากาศที่เราใช้กันจะมีแผ่นกรองอากาศที่คอยดักจับฝุ่นละอองทั่วไปที่อยู่ในอากาศอยู่แล้ว ทำให้อากาศที่ตัวเครื่องปล่อยออกมามีปริมาณฝุ่นน้อยลง แต่ฝุ่น PM2.5 ตัวร้ายมีขนาดเล็กกว่าฝุ่นทั่วไปมาก ทำให้แผ่นกรองอากาศที่มีอยู่แล้วในตัวเครื่องไม่สามารถดักจับวายร้ายรายนี้ได้ คุณทอยส์ วล็อกเกอร์จึงเสนอให้ติดแผ่นกรองอากาศที่มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่น PM2.5 เพิ่มลงไปบนแผ่นกรองอากาศเดิม ซึ่งแผ่นกรองชนิดนี้ถักทอด้วยเส้นใยความถี่สูงกว่าแผ่นกรองปกติ จึงดักจับฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กได้ดีกว่า แต่แนวคิดนี้ก็มีข้อจำกัดที่ว่า การติดแผ่นกรองที่มีความถี่สูงเพิ่มเข้าไปอาจทำให้ลมไหลผ่านแผ่นกรองได้น้อยลง ทำให้ตัวเครื่องทำงานหนักขึ้นและใช้ไฟฟ้ามากขึ้น จากพระเอกที่จะคอยช่วยดักจับฝุ่นร้าย ก็อาจกลายเป็นตัวร้ายที่จะสูบเอาเงินไปจากกระเป๋าแทนได้ 2. เปลี่ยนพัดลมเป็นเครื่องฟอกอากาศ แนวคิดนี้ก็ยังคงมีแผ่นกรองอากาศเป็นพระเอกอีกเช่นเคย เพียงแต่เจ้าของแนวคิดได้เปลี่ยนดาวเด่นจากเครื่องปรับอากาศมาใช้พัดลมที่ประหยัดไฟมากกว่าแทน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เมื่อใบพัดของพัดลมหมุนก็จะดูดอากาศมาจากด้านหลังแล้วปล่อยออกมาทางด้านหน้า คุณทอยส์ วล็อกเกอร์จึงเสนอให้ติดแผ่นกรองอากาศเพิ่มเข้าไปด้านในตะแกรงหลังของพัดลม การติดแผ่นกรองเพิ่มเข้าไปแบบนี้จะช่วยกรองเอาฝุ่นละอองออกไปในตอนที่อากาศไหลผ่านตะแกรงหลัง ทำให้ลมที่พัดลมปล่อยออกมามีปริมาณฝุ่นลดน้อยลง แต่แนวคิดนี้เหมาะจะนำไปใช้กับพัดลมที่มีตะแกรงหน้าหลังแบบหน้าตัดแบน เพื่อให้แผ่นกรองอากาศที่ติดเพิ่มเข้าไปทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดนั่นเอง 3. ไบโอฟิลเตอร์ : เครื่องมือดักจับฝุ่นจากมอส นอกจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างการดัดแปลงของใกล้ตัวมาต่อกรกับฝุ่นร้ายแล้ว ก็ยังมีการแก้ปัญหาระยะยาวอย่างโครงการสกายการ์เด้นอีกด้วย คุณณภัทร ศรีกายกุลจากบริษัทเอิร์ธ คราฟต์ ทีเอชได้แรงบันดาลใจมาจากประเทศเยอรมันที่ใช้มอสติดตั้งกับพัดลม ทำให้อากาศไหลเวียนและทำให้ฝุ่นลดน้อยลง จึงได้จับมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยร่วมกันสร้างเครื่องมือดักจับฝุ่นหรือไบโอฟิลเตอร์ โดยมีพระเอกของโครงการเป็นมอสที่สามารถดักจับฝุ่นได้ เนื่องจากมอสจะสร้างสารเคลือบผิวขึ้นมากักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น ตัวสารเคลือบผิวนี้เองที่จะเป็นเหมือนกาวดักจับฝุ่นร้ายในอากาศแล้วย่อยสลายมันให้กลายเป็นปุ๋ย ทีมวิจัยจึงนำมอสมาทดลองในห้องปิดพร้อมติดตั้งระบบลม แล้วปล่อยควันและมลพิษต่าง ๆ เข้าไป พบว่ามอสทำให้ปริมาณฝุ่นค่อย ๆ ลดน้อยลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุด นอกจากแนวคิดนี้จะช่วยกำจัดฝุ่นร้ายให้หมดไปได้แล้ว ก็ยังถือว่าส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวไทยอีกด้วย เพราะตัวมอสต้นแบบเองเป็นมอสเมืองหนาว หากโครงการสามารถพัฒนามอสที่เติบโตในไทยขึ้นมาได้ มอสชนิดนี้ก็จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น และจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย แนวคิดนี้จึงถือเป็นการฟอกอากาศให้สะอาดไปพร้อมกับการสร้างอาชีพให้กับคนไทยไปในตัว 4. DustBoy : เครื่องวัดข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยระบบเซ็นเซอร์ ทั้งภาคเหนือและประเทศเพื่อนบ้านของเราต่างก็เจอปัญหาฝุ่นควันจากการเผาป่าและซากอ้อยมานานนับปี ศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงจับมือกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในภาคเหนือจัดทำแผนวิจัย “ประเทศไทยไร้หมอกควัน” และพัฒนา DustBoy ขึ้นเพื่อใช้วัดค่าฝุ่นและจัดเก็บข้อมูล DustBoy จะใช้เซ็นเซอร์วัดค่าฝุ่นในอากาศทั้ง PM10 และ PM2.5 แล้วส่งสัญญาณไปยัง BigQuery ที่ทำหน้าที่ประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแล้วแสดงผลออกมา 2 รูปแบบ คือ รายชั่วโมงและราย 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทางการแสดงผล 2 ช่องทาง ทั้งทางเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และผ่านการแจ้งเตือนในแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทางโครงการยังขยายพื้นที่ไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบนอีกด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บข้อมูลและศึกษาคุณภาพอากาศในแต่ละพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์และเตรียมพร้อมแก้ปัญหาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านต่อไป นับว่าการคุกคามของฝุ่นร้ายในครั้งนี้ทำให้คนไทยตื่นตัวถึงอันตรายของการใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศที่เลวร้ายได้ดีเลยทีเดียว บางแนวคิดเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการหยิบยกเอาของใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ บางแนวคิดก็มุ่งกำจัดฝุ่นร้ายในระยะยาวด้วยการนำความรู้ที่มีมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ แต่ทุกแนวคิดต่างก็มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน นั่นคือการมุ่งหน้าสู่สังคมปลอดฝุ่นที่ทุกคนจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ โครงการการติดตามและประเมินภาวะหมอกควันเพื่อการบริหารจัดการ (Monitoring and Evaluation of Haze Management Program) ภายใต้แผนงานวิจัย "ประเทศไทยไร้หมอกควัน". (2561). DUST BOY: เครื่องวัดข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยระบบเซ็นเซอร์ เชื่อมต่อข้อมูลด้วยระบบสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะ. รายงานแผนงานวิจัยประเทศไทยไร้หมอกควัน. เปิด 11 มาตรการเร่งด่วน ป้องกันฝุ่น PM 2.5 พร้อมทำความรู้จัก AQI เกณฑ์มาตรฐานค่าฝุ่น พร้อมแนะแอปพลิเคชั่นช่วยตรวจสอบค่าฝุ่นพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ติดตาม 11 มาตรการเร่งด่วน ประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ปี 2567 ทั้งการจัดการไฟในป่า ไฟในพื้นที่เกษตรกรรม การควบคุมฝุ่นละอองในเมือง การสนับสนุนและการลงทุน โดยเน้นการเตรียมความพร้อมป้องกันการเกิดฝุ่น PM 2.5 และไฟป่า ใน 3 พื้นที่แหล่งกำเนิดหลัก ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เมือง รวมถึงหมอกควันข้ามแดน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ยังได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดแต่ละแหล่ง เข้มงวดในการดำเนินการตามมาตรการให้มากขึ้น เนื่องจาก ในปี 2567 ประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่อาจส่งผลกระทบให้เกิดภาวะความแห้งแล้งรุนแรง และมีผลต่อสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในช่วงต้นปี 2567 ได้ โดยมาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้แก่ 1. การเตรียมความพร้อมการควบคุมพื้นที่เสี่ยงต่อการเผาใน 11 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวนแห่งชาติ โดยจัดทำแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า จัดระเบียบควบคุมผู้เข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ 2. การเตรียมความพร้อมการกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตการเผาและการบริหารจัดการการเผาในพื้นที่เกษตร โดยสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่ 3. การนำระบบการรับรองผลผลิตทางการเกษตรแบบไม่เผา (GAP PM2.5 Free) มาใช้กับการปลูกอ้อย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4. จัดหาและสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตรที่เหมาะสมในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร และมาตรการไม่รับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบ 5. การบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยนำมาแปรรูปเพื่อสร้างรายได้ และจัดตั้งศูนย์รับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 6. การพิจารณาเพิ่มเงื่อนไขเรื่องการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรในการนำเข้า – ส่งออกสินค้า เพื่อแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน 7.การพิจารณาสิทธิประโยชน์หรือแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้าร่วมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 8. การผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 9 การลดปริมาณฝุ่นละอองจากรถบรรทุก รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีและการตรวจจับควันดำ การเข้มงวดวินัยจราจร การคืนพื้นผิวจราจรบริเวณการก่อสร้างรถไฟฟ้า การลดจำนวนรถยนต์ในท้องถนน โดยเฉพาะในพื้นที่เมือง สร้างจุดจอดแล้วจร และสนับสนุน การปรับเปลี่ยนใช้รถยนต์ไฟฟ้า 10. การลดปริมาณฝุ่นละอองจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และอื่นใด 11. การกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน สำหรับทั้ง 11 มาตรการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ ระบุ จะต้องเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้ พร้อมรายงานความก้าวหน้าต่อคณะอนุกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศทราบทุกเดือน เกณฑ์มาตรฐานค่าฝุ่น / ทำความรู้จัก AQI AQI (Air Quality Index) หรือดัชนีคุณภาพอากาศ เป็นการรายการคุณภาพอากาศในภาพรวมของไทย โดย 1 ค่าดัชนี จะประกอบด้วย ค่าเข้มข้นของสารพิษทางอากาศ 6 ชนิด ได้แก่ 1. PM 2.5 (ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน) 2. PM 10 (ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน) 3. โอโซน 4. คาร์บอนมอนอกไซด์ 5. ไนโตรเจนไดออกไซด์ 6. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สำหรับข้อมูลการตรวจวัดค่าดังกล่าวได้มาจากการติดตามคุณภาพอากาศ โดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศอัตโนมัติของกรมควบคุมมลพิษที่มีอยู่ทั่วประเทศ ความแตกต่างของค่า PM 2.5 และ AQI ฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง เป็นเพียงหนึ่งในพารามิเตอร์ที่ใช้คำนวณค่า AQI เท่านั้น แต่ค่า AQI ต้องใช้ค่ามลพิษทางอากาศทั้งหมด 6 พารามิเตอร์มาคำนวณร่วมกัน ค่าฝุ่น PM 2.5 จึงเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเลขดัชชีคุณภาพอากาศ เพื่อยกระดับมาตรฐานการป้องกัน ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนให้ กรมควบคุมมลพิษได้ปรับปรุงค่ามาตรฐาน PM 2.5 ใหม่ ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก โดยปรับค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เป็น ไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม (เดิม ไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) และค่าเฉลี่ยรายปี เป็น ไม่เกิน 15 มคก./ลบ.ม (เดิม ไม่เกิน 25 มคก./ลบ.ม.) นอกจากนี้ยังมีการปรับค่า AQI ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับค่า PM 2.5 ด้วย โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ และใช้สีเป็นสัญลักษณ์เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ แบ่งออกเป็น สีฟ้า (0-25) และ สีเขียว (26-50) = คุณภาพอากาศดี เหมาะกับการกิจกรรมกลางแจ้งและท่องเที่ยว สีเหลือง (51-100) = คุณภาพอากาศปานกลาง ควรเฝ้าระวังหรือลดเวลาในการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สีส้ม (101-200) = คุณภาพอากาศเริ่มส่งผลต่อสุขภาพ ควรลดกิจกรรมกลางแจ้ง สีแดง (201 ขึ้นไป) = คุณภาพอากาศมีผลต่อสุขภาพ ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง และใส่หน้ากากป้องกัน PM 2.5 เวลาอยู่ข้างนอกบ้าน/อาคาร แนะนำแอปพลิเคชันสำคัญ Air4Thai : แอปพลิเคชันสำหรับรายงานคุณภาพอากาศตามภูมิภาค ที่ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร การรายงานคุณภาพอากาศ การคาดการณ์คุณภาพอากาศ ได้อย่างรวดเร็ว Burn Check : “จองคิวเผา การแก้ปัญหาไฟป่า และมลพิษทางอากาศ” เป็นแอปพลิเคชันที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ ผ่านแนวทางการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐกับประชาชน ซึ่งสามารถลงทะเบียนใช้แอปพลิเคชันผ่านระบบ เว็บไซต์ และใช้บนสมาร์ทโฟน ระบบ Android และ IOS โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ภาคประชาชน และกลุ่มเกษตรกร ลงทะเบียนใช้งาน เมื่อผู้ใดต้องการกำจัดวัชพืชโดยการเผา หรือชิงเผา ให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ เพื่อขออนุญาตเผา โดยมีการพิจารณา อนุมัติผ่านศูนย์ประสานงานในระดับอำเภอ พร้อมทั้งทดสอบการพิจารณาอนุมัติคำขอโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งภายในแอปพลิเคชันจะมีระบบแจ้งปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ และคุณภาพอากาศ ประกอบการพิจารณา และจะมีการแจ้งอนุมัติ แก่ผู้ขอเมื่อมีการอนุมัติ Smoke Watch (แจ้งเตือนไฟป่า) : แอปพลิเคชันแจ้งเตือนและเฝ้าระวังไฟป่า จากการเผาในที่โล่ง เพื่อบริหารจัดการข้อมูลการแจ้งเหตุเผาไฟป่า และเข้าระงับเหตุได้ตรงจุดอย่างรวดเร็วแจ้งเตือนไฟป่า มีรูปแบบการแจ้งเตือน 2 ประเภท คือ การแจ้งข้อมูลการเผา (แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ป่าไม้) และการแจ้งข้อมูลเพื่อเป็นเบาะแส (แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจ) หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องโดยทันที เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว จะเข้าไปอัปเดตสถานะของตำแหน่งที่ได้รับแจ้งในระบบ โดยระบบจะใช้เทคนิคการจัดเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูล เพื่อประมวลผล คัดแยกข้อมูลใหม่ และข้อมูลเก่าสำหรับแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้ตรงกับวัตถุประสงค์การแจ้งเตือน ทั้งในรูปแบบเสียงและภาพถ่าย 6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา 1. งดเผาขยะ งดจุดธูป เปลี่ยนมาใช้ธูปไฟฟ้า การเผาขยะจะทำให้เกิดการเผาไหม้ซึ่งจะเป็นการเพิ่มควัน และฝุ่นพิษให้อากาศ นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนการจุดธูป ซึ่งปกติจะทำให้เกิดฝุ่นจากธูป และควัน มาใช้ธูปและเทียนแบบไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณควัน และลดอัตราการเกิดอัคคีภัยในช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้งได้ด้วย ซึ่งแนวทางการแก้ไขในเรื่องของการเผาขยะ โดยการหมุนเวียนทรัพยากร (Zero Waste) เพื่อช่วยลดปริมาณขยะและนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดขยะ นำสิ่งของกลับมาใช้ใหม่ ใช้วัสดุทดแทน ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะช่วยลดปัญหาขยะลงได้ 2. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ การป้องกันฝุ่นด้วยการปิดหน้าต่างๆ และประตูบ้านตลอดเวลา อาจลดปริมาณฝุ่นทั่วไปได้ แต่ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีอนุภาคเพียง 2.5 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมากจนเครื่องปรับอากาศไม่สามารถดักจับได้ ตัวช่วยในการดักจับฝุ่นด้วยเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นทางเลือกที่คนหันมาใช้กันมากขึ้น เครื่องฟอกอากาศที่ขายในท้องตลาดมีหลายแบรนด์ให้เลือก แต่การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสม ควรคำนึงถึงขนาดของพื้นที่ห้องกับขนาดของตัวเครื่องให้เหมาะสมกัน จึงจะมีประสิทธิภาพที่ดี 3. ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ ปัจจุบันการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศเป็นเทรนด์ที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากให้ความสวยงามสบายตาแล้ว ยังทำให้อากาศภายในบ้านสดชื่นด้วย ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติในการฟอกอากาศและเป็นที่นิยมสำหรับการนำมาปลูก และวางตามจุดต่างๆ ของบ้าน มีหลากหลายพรรณไม้ ยกตัวอย่างเช่น ต้นยางอินเดีย พลูด่าง เศรษฐีเรือนใน เศรษฐีพันล้าน ลิ้นมังกร เขียวหมื่นปี เดหลี ไทรใบสัก กวักมรกต และยังมีอีกมากมาย ทั้งนี้ต้นไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและการดูแลที่แตกต่างกันไป ควรศึกษารายละเอียดก่อนนำมาปลูกด้วย 4. ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล สาเหตุของฝุ่นละอองขนาดเล็ก ร้อยละ 50-60% มาจากการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน สังเกตได้ว่าบริเวณที่มีการจราจรติดขัดมักมีอากาศที่ขมุกขมัว เนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น การเสียดสีของยางกับพื้นถนนทำให้เกิดฝุ่นละออง อีกทั้งรถยนต์ยังปล่อยควันจากท่อไอเสีย หากผู้คนส่วนใหญ่ลดอัตราการใช้รถบนท้องถนน หันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ก็จะช่วยทำให้ปริมาณฝุ่นละอองที่เกิดจากปัญหาเหล่านี้ลดลงตามไปด้วยเช่นกัน 5. หมั่นเช็คสภาพรถ เพื่อลดควันดำ การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ของทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ จะทำให้เกิดควันดำ และมลพิษทางอากาศ จึงควรหมั่นตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพปกติ การใช้งานไม่ควรมีควันดำ หรือปล่อยควันดำขณะขับขี่ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อีกช่องทาง 6. หมั่นทำความสะอาดบ้าน การทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ด้วยผ้าชุบน้ำเพื่อป้องกันการกระจายของฝุ่น รวมทั้งการล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องปรับอากาศ พัดลม แผ่นกรองอากาศ มุ้งลวด และเช็ดทุกซอกมุมของบ้าน เพื่อช่วยลดแหล่งสะสมของฝุ่นได้อย่างง่ายๆ